แชร์
รอยแผลเป็นจากสิวเกิดจากการทิ้งรอยแผลไว้หลังจากเป็นสิว มักพบได้บ่อยหลังเป็นสิวอักเสบที่รุนแรง เช่น สิวหัวช้าง เพราะการอักเสบของสิวจะไปทำลายสารคอลลาเจนและเนื้อเยื่อบริเวณที่เป็นสิว จนทำให้เกิดรอยแผลหลังจากที่สิวหาย แผลเป็นจากสิวบางประเภทไม่สามารถหายในเวลาสั้น ๆ แต่รอยจะจางลงไปตามกาลเวลา ส่วนการรักษาด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวจางลงเร็วขึ้นได้
ประเภทของแผลเป็นจากสิว
- Atrophic Scars คือแผลหลุมสิว เป็นแผลเป็นจากสิวประเภทที่พบได้บ่อย เกิดจากการที่สารคอลลาเจนในชั้นผิวหนังถูกทำลายจนทำให้เกิดเป็นหลุมสิว
- Ice Pick Scars คือรอยสิวแบบจุดหลุมลึก จะที่มีลักษณะลึกและแคบ โดยหลุมสิวจะมีความลึกมากกว่า 2 มิลลิเมตร และมีก้นหลุมที่แหลมลึกลงไปในผิว
- Rolling Scars คือหลุมสิวแบบคลื่น มีลักษณะเป็นหลุมกว้างประมาณ 4-5 มิลลิเมตร แต่จะมีก้นหลุมที่ตื้นกว่ารอยสิวแบบจุดหลุมลึก
- Boxcar Scars คือหลุมสิวแบบกล่อง มีลักษณะรอยหลุมสิวที่กว้างและมีขนาดใหญ่ ที่ก้นหลุมสิวจะกว้างกว่ารอยสิวแบบจุดหลุมลึก โดยจะสามารถมองเห็นขอบหลุมได้ชัดเจน
- Hypertrophic หรือ Keloid Scars เป็นรอยแผลเป็นที่นูนขึ้นมาจากผิวหนัง
การรักษาแผลเป็นจากสิว
Step 1
- การรักษารอยแดงและรอยดำที่เกิดจากสิว สามารถรักษาได้ด้วย Vbeam ซึ่งเป็นเลเซอร์ชนิดเพาซ์ดายด์ (Pulsed Dye Laser) และ Low Level Laser Therapy (LLLT) หรือ Phototherapy ที่เป็นการรักษาด้วยเลเซอร์คลื่นแสงความถี่ต่ำ
- การรักษาหลุมสิวโดยการแต้มกรด (CROSS Technique)
Step 2 กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนสำหรับหลุมสิวและรอยแผลเป็นโดย
- การเลเซอร์เพื่อลอกผิวเฉพาะส่วน (Ablative Fractional Laser Resurfacing)/ EndyMed RF®
- การทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peels)
- การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Dermabrasion)
- การทำ Skin Needling
Step 3 ฉีดสารเติมเต็ม (Filler)ในกรณีที่แผลเป็นจากสิวไม่ดีขึ้นจากการรักษาด้วย 2 Step แรก
ทั้งนี้ การรักษาแผลเป็นจากสิวจำเป็นต้องใช้หลายวิธีควบคู่กันจึงจะเห็นผล